เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ต.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ มาวัดก็มาฟังธรรม มาประพฤติปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติมันมีความพร้อมไง เวลาคนเกิดมาเพราะมีหนี้เวรหนี้กรรมถึงได้มาเวียนว่ายตายเกิด เวลาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยกรรมดีๆ เกิดเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มีค่ามาก เพราะมีค่ามาก มนุษย์มีสมอง มนุษย์มันแยกผิดแยกชั่วแยกดีได้ เพราะมนุษย์ เราถึงมีสติมีปัญญา

คนมีสติปัญญา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร พระพุทธศาสนาสอนเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายไง เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาจากไหน มาจากการกระทำ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวลากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมมาจากไหน กรรมก็มาจากกำมือเรานี่ไง เพราะกำมือเราทำทั้งนั้นน่ะ เพราะเราทำมาเองๆ สิ่งที่ทำมาเอง มันถึงเป็นหนี้เวรหนี้กรรมไง

เวลาหนี้เวรหนี้กรรมเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เสียสละ ให้เสียสละ การเสียสละ เสียสละสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในหัวใจของเรา แต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดีให้รีบขวนขวาย การขวนขวายๆ ทำคุณงามความดีเพื่อเราๆ ระดับของทาน ระดับของทานมีน้ำใจต่อกัน สังคมร่มเย็นเป็นสุข สังคมร่มเย็นเป็นสุข ในการประพฤติปฏิบัติมันก็จะมีโอกาสไง สังคมมีแต่ความขัดแย้ง เราทำสิ่งใดเราทำไม่ได้หรอก มีแต่ความขัดแย้ง เราต้องคอยหลบหลีก หลบหลีกภัยของเรา ถ้าหลบหลีกภัยของเรา มันจะมาประพฤติปฏิบัติสิ่งใดล่ะ

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้มีเมตตาต่อกัน พอมีเมตตาต่อกันนะ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เขามีเวรมีกรรม มีเวรมีกรรมด้วยนิสัยใจคอของเขา นิสัยใจคอของเขา เวลาเราเจอสิ่งใดแล้วเราหลบเราหลีกของเรา เราหลบเราหลีก เราทำคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีเพื่อเราไง

โลกเขา เขาแสวงหากันมาเพื่อประโยชน์ของเขา ถ้าเขาเป็นหนี้เป็นสินกัน เขาต้องใช้หนี้ใช้สินของเขา ถ้าเขาไม่ใช้หนี้ใช้สินของเขา เขาก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย เวลาบังคับใช้กฎหมาย บังคับใช้กฎหมายด้วยความถูกต้องผิดไง นั่นเป็นเรื่องการใช้หนี้นะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ทุกข์ด้วยความเป็นหนี้ เวลาเราพ้นจากความเป็นหนี้ คนที่เป็นหนี้เป็นสินเป็นทุกข์เป็นยากมากนะ ต้องคอยหลบคอยหลีกตลอดเวลา ว่าเขาจะมาคอยตามทวงหนี้ของเขา เห็นไหม เราเป็นหนี้เป็นสินเขา เรายังไม่มีโอกาสจะใช้เขา เราต้องหลบต้องหลีก นี่ทุกข์ด้วยความเป็นหนี้ ถ้าเราใช้หนี้ใช้สินเราหมดแล้วเราเผชิญหน้าเขาได้หมดแหละ เราไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ใครจะมีอำนาจเหนือเรา คนเกิดมาเสมอภาคกันด้วยกันทั้งนั้นน่ะ นี่สิ่งที่ความทุกข์ที่ความเป็นหนี้

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราพ้นจากความเป็นหนี้ๆ นี่หนี้ทางโลกนะ แต่เวลาหนี้เวรหนี้กรรม หนี้เวรหนี้กรรมมันมีเวรมีกรรมมามันถึงเป็นจริตนิสัย เวลาคนเกิดมาทำไมมีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน จริตนิสัยมันฝังมา พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตด้วยการกระทำมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ความเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาแต่คุณงามความดี สร้างแต่คุณงามความดีของท่าน เสียสละทั้งนั้น เสียสละเพื่อโพธิญาณของท่าน ท่านมีเป้าหมายของท่าน อธิษฐานบารมี เป้าหมายการที่เราจะกระทำให้ถึงเป้าหมายของเรา ถ้าเราอธิษฐานบารมี เราตั้งของเราแล้วเราพยายามกระทำของเรา ทำของเรา มีจุดยืนของเรา

คนที่อ่อนแอตั้งเป้าหมายไว้ มีความเจตนาสิ่งใดไว้แล้วทำไม่สมความปรารถนา แล้วก็อ่อนแอ อ่อนแอก็ล้มลุกคลุกคลานไป ไม่มีจุดยืนของเขา นี่ไง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากไหน เกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา เกิดขึ้นมาจากจริตนิสัย เกิดขึ้นมาจากการกระทำ

ถ้าคนที่เขามีการกระทำ เขามีความมั่นคงของเขา ความมั่นคงของเขา เวลาภาวนา ครูบาอาจารย์ของเราทั้งชีวิตนะ เวลาพระบวชมาตั้งแต่เป็นเณร บวชมาตั้งแต่เป็นเณร ชีวิตทั้งชีวิตเลย แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ทั้งชีวิตทั้งนั้นน่ะ แล้วทั้งชีวิต เวลาเรานั่งสมาธิภาวนาสักชั่วโมงสองชั่วโมง เรามีความหงุดหงิดไหม เรามีความขับดันในหัวใจไหม เราปฏิบัติไปแล้ว สิ่งที่ทำไปมันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เราปฏิบัติไปแล้วจะเสียเวลาเปล่าหรือเปล่า เวลาคนทำความดีๆ แล้วมาคิดทีหลังเลย เราไม่น่าทำเลย เราใช้ชีวิตเราสะดวกสบายกว่านี้ เราหลงผิดไปๆ เห็นไหม เวลามันอ่อนแอ

เวลามันเข้มแข็งขึ้นมานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นคน ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ความประเสริฐเลอเลิศอันนั้นประเสริฐเลอเลิศมาจากไหนล่ะ เวลาประเสริฐเลอเลิศ ประเสริฐเลอเลิศมาจากหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั่นน่ะ มันตรัสรู้ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันเลอเลิศ เวลาตรัสรู้มาแล้วจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็น สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เทศนาว่าการ ๓ โลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหมเราปรารถนา

นรกสวรรค์มีไหม เราเชื่อไหม นรกสวรรค์มีหรือเปล่า แล้วพรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหรือเปล่า

เวลาพรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดามาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์ตรงนั้นไง ประโยชน์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เพราะการปลดเปลื้องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความปลดเปลื้องด้วยอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณมันทำลายไง

บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาระลึกถึงที่มาของเราไง เราทำสิ่งใดมา เราทำสิ่งใดมาเราถึงมานั่งอยู่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาถ้าเราประพฤติปฏิบัติไม่ถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ จุตูปปาตญาณมันยังไปข้างหน้า เวลาอาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้ไง นี่ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมๆ ปัญจวัคคีย์ ๕ คนฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ด้วยอำนาจวาสนา มีแต่พระอัญญาโกณฑัญญะเท่านั้นที่มีปัญญาแทงทะลุธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปในใจของตนได้ เห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา

แต่ของเรามันไม่ธรรมดา เกิดขึ้นมาก็ดีใจ ดับไปก็เสียใจ อยู่กับเราก็ถนอมรักษา มันไม่ธรรมดากับเรา ไม่ธรรมดาที่ไหนล่ะ โดยข้อเท็จจริงของมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ด้วยตัณหาความทะยานอยากของเราต่างหากล่ะ เราต้องการปรารถนาให้มันอยู่กับเรา เราต้องการปรารถนา เราต้องการของเรา นี่มันไม่ธรรมดาตรงนี้ไง ถ้าไม่ธรรมดา นี่ไง ด้วยจริตนิสัย เวลาคนที่มีสติปัญญา เวลาฟังธรรมๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแล้วมีผู้รู้ตาม ผู้รู้ตามเพราะเป็นความปรารถนาของท่าน ท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจของสัตว์โลก ในหัวใจของเรานี่ ในหัวใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ถ้ามันทุกข์มันยากอยู่นี่ ระดับของทาน ระดับของทานนี่ฆราวาสธรรม เราเป็นฆราวาส เราก็พยายามหมั่นฝึกฝน

การเสียสละนี้เป็นการฝึกฝนหัวใจ เวลาเราจะเสียสละมันเสียสละมาจากไหน เวลามันตระหนี่ถี่เหนียวมันอยู่ที่หัวใจนี้ ของกูๆ มันให้ไม่ได้หรอก แต่ถ้ามันคิดจะให้ มันคิดจะให้นะ ของมันจะล้นฟ้ามาจากไหน ถ้ามันคิดจะให้ มันให้ได้เลย แต่ถ้ามันไม่คิดจะให้ ของเก็บไว้ในบ้านในเรือนมันสะสมไว้ จะเผามันตายมันยังไม่รู้จักเป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย แล้วมันตระหนี่ถี่เหนียวไง

นี่ไง เวลาระดับของทานๆ เวลาระดับของทานมันสละที่นี่ ความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจนั้น ความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจมันเกิดจากไหน มันเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก ความไม่รู้ไง ที่ว่าของกูๆ มันคิดว่าของมันๆ แต่ไม่ใช่เลย เวลาสิ่งนี้มันเป็นสมมุติสัจจะ สิ่งที่เราหามานะ เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา มันเป็นตามข้อเท็จจริงอยู่แล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย แม้แต่ค่าของเงิน ค่าของเงินมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน ของเราๆ เราคิดว่าของเราไง มันเปลี่ยนแปลงของมันตลอดเวลา เราไม่ได้พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เก็บไว้ๆ เราไม่ตายใช่ไหม เวลาเราตายไปแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย แต่ถ้าเราเสียสละไป เราเสียสละไปตั้งแต่ตอนนี้ จิตใจมันรับรู้อยู่ตอนนี้ พอจิตใจมันรับรู้ เจตนาที่เสียสละไปๆ การเสียสละนั้นฝึกหัดจริตนิสัยของเราด้วย แล้วมันได้บุญกุศลของเราด้วย เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนเสียสละเอง เราเป็นคนกระทำเอง ความลับไม่มีในโลก ของที่เราเสียสละไปเองเป็นของเราหรือของเขา เราเสียสละวัตถุออกไป ของของเราเป็นของเรา ทิพย์สมบัติมันไปของเรา แล้วมันตบแต่งของมัน มันแก้ไขดัดแปลงหัวใจของเรา ถ้ามันดัดแปลงหัวใจของเราจนจิตใจของเรามันอิ่มบุญ คำว่า “อิ่มบุญ” ทำบุญจนเป็นเรื่องปกติ มันอิ่มมันเต็มของมัน

เวลามันอิ่มบุญของมันแล้วถ้ามันมีอำนาจวาสนา มันก็จะขวนขวายไง ขวนขวายอัตตสมบัติ สมบัติของหัวใจ สมบัติของหัวใจ สติสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ สมาธิเกิดขึ้นๆ ถ้ามันเป็นสมบัติของเราขึ้นมา เราฝึกหัดขึ้นมา

คนไม่ฝึกหัดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีอะไร เรามีอะไรบ้าง สติก็ชื่อ สมาธิก็ชื่อ ปัญญานี่คิดเอาเป็นสัญญา มีอะไรบ้าง ไม่มี

ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เรามาฝึกหัดอยู่นี่ไง ถ้าสติก็ให้มันเป็นตัวจริงๆ ขึ้นมา สติ หมายความว่า ความระลึกรู้มันระลึกรู้ในใจนี้ ถ้ามันจะคิดสิ่งใด มันจะไปกว้านเอาสิ่งใดมาเป็นทุกข์เป็นร้อนในหัวใจ เอ๊อะ! เอ๊อะ! เอ๊อะ! สติมันทัน หยุดหมดแหละ นี่สติจริงๆ มันมีคุณค่าอย่างนี้ สติจริงๆ มันมีคุณค่ายับยั้งความรู้สึกนึกคิดเราได้ สติจริงๆ มันระลึกอยู่ตัวเรานี้ ถ้าระลึกรู้ตัวเรานี้ มันฟุ้งซ่านไปไหม เวลากิเลสมันท่วมหัว เวลามันฟุ้งซ่านไป กิเลสมันกลับบ้าน กิเลสมันนอนไม่ตื่น เราก็คิดไปทั่ว ไปกว้านเอาไฟมาเผาเต็มที่เลย สติยังไม่ตื่นเลย สติตื่นขึ้นมาหยุดหมดแหละ นี่สติธรรม

สมาธิธรรม ฝึกหัดสมาธิ ถ้าจิตมันสงบระงับ เราฝึกหัดสมาธิของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้อานาปานสติกำหนด มีคำบริกรรมของเรา มีคำบริกรรมของเราคือจิตมันมีการกระทำ การกระทำมันมีนวกรรมในใจของมัน มีการกระทำของมัน ถ้ามันเป็นความจริงๆ ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ที่เวลามันขาดสติ มันพลั้งเผลอไปนี่ มันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผามันทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันเอาไฟมาเผา ถ้ามีสติมันก็หยุดไง หยุดแล้วสืบต่ออย่างไร นี่ไง ถ้าสืบต่ออย่างไร สันตติจะให้มันคงที่อย่างไร ถ้าคงที่อย่างไร เราก็มีคำบริกรรมของเราไว้ เรารักษาของเราไว้

พอรักษาของเราไว้ ตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ที่จิต มันก็บิดเบือน มันก็ขับดัน ล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติใหม่ๆ ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ ทรัพย์สมบัติข้างนอก เราเห็นแล้วเราไปกว้านหามาเป็นของเราได้ เวลาหัวใจแท้ๆ ของเราจะเอาไว้กับเราเอาไว้ไม่ได้ ของเป็นของดีๆ รู้ว่าของดี ตะครุบได้แต่เงามัน ไม่ได้ความจริงสักที

ถ้าได้ความจริงขึ้นมา พอมันสงบระงับเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบแล้วมันต้องมีความสุขของมัน มีความสุข ความสงบ ความระงับอันนี้ นี่ไง ถ้ามันเกิดอย่างนี้เกิดสัมมาสมาธิ ถ้าเกิดสัมมาสมาธิ

ถ้าเกิดมิจฉา มันง่วงเหงาหาวนอน มันวูบหายไป มันตกภวังค์ไปต่างๆ มันเป็นอาการทั้งนั้น มันก่อนที่จะเข้าบ้าน เข้าบ้านของตนไม่ถูก มันก็เข้าบ้านถูกเข้าบ้านผิดอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้ามันจิตสงบระงับเข้ามาเป็นตัวตนของเรา ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากจินตนาการ ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากการคาดหมาย การคาดหมายมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ไง

มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ โดยธรรมชาติของสันตติ โดยธรรมชาติของขันธ์ ๕ โดยธรรมชาติของความคิดมันคิดโดยธรรมชาติของมัน ถ้าคิดโดยธรรมชาติของมัน พอไปคิดสิ่งใดเราก็โอ๊ะๆๆ อยู่นั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะมันไม่เคยเห็นความเป็นจริงไง พอจิตมันสงบแล้วมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เรามีสติ มีสมาธิ เราควบคุมของเรา เวลามันออกใช้ปัญญาของมัน ต้องออกใช้ปัญญา การออกใช้ปัญญา สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง คือสติปัฏฐาน ๔ ที่จิตมันสงบแล้วมันค้นคว้าของมันหาตามความเป็นจริง

จิตเราไม่สงบ มันเป็นการคาดหมาย เป็นจินตนาการ เราสร้างภาพทั้งนั้นน่ะ ถึงบอกว่ามันไม่เป็นความจริงไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีมรรคญาณ มันมีสัจจะมีความจริงไง มรรคโดยข้อเท็จจริง ไม่ใช่คิดเปรียบเทียบ คิดของเราขึ้นมาว่าเป็นมรรคๆ ไง

สัมมาอาชีวะเราก็ทำอาชีพชอบๆ อาชีพชอบคือการคิดถูกคิดผิดต่างหาก คิดผิดนี่อาชีพผิด มันเสวย จิตมันคิด เวลามันคิดทางถูก นั่นน่ะสัมมาอาชีวะ คิดทางถูก จากสัมมาอาชีวะ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค นี่ไง ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลความพอดีของมันเป็นอย่างไร ความสมดุลความพอดี นี่มันเกิดขึ้นมานี่ไง เวลามันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากหัวใจ นี่ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้

เราจะบอกว่า ที่บอกว่า เวลาสติ สมาธิ ปัญญา มันมีแต่ชื่อ เวลามันเป็นจริงๆ เป็นจริงจากการปฏิบัติไง ฉะนั้น เวลาเราศึกษา ศึกษาเป็นภาคปริยัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศึกษานะ ปริยัติเวลาศึกษามาแล้ว ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ

เรามีการศึกษามา เรามีความรู้มา เราต้องประกอบสัมมาอาชีวะขึ้นมาให้เรามีทรัพย์สมบัติของเราขึ้นมา เวลาศึกษามา ศึกษาไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาไว้เพื่อการกระทำ เวลาเราจะฝึกหัด เราจะปฏิบัติ เราก็กลัวไปหมดเลย นู่นก็จะผิด นี่ก็จะผิดนะ

เวลาเราศึกษามาๆ ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง ศึกษามาเพื่อเป็นความรู้ที่เราจะทำให้ถูกต้อง เวลาศึกษาไปแล้วนะ ไอ้ความศึกษานั้นมันก็มาเทียบเคียงว่า อ๋อ! มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นไปหมดเลย

วาง รู้แล้ววางไว้ๆ เราพยายามทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา มันถึงมีรสมีชาติ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสชาติของมัน รสชาติของสัจจะความจริงไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันเข้าไปต่อสู้กับกิเลสนะ ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านบอกสงครามธาตุสงครามขันธ์ มันเกิดสงครามธาตุสงครามขันธ์ แต่นี่เราไม่มีสงคราม เรามีแต่ตามกันไป เวลามันจูงจมูกก็ตามไปเลย แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีสงครามธาตุสงครามขันธ์ ระหว่างธาตุขันธ์มันประหัตประหารกัน ธรรมะ ธรรมะที่เกิดขึ้นมันจะประหัตประหาร มันต่อสู้กัน ไสกองทัพเข้าใส่กัน มันต่อสู้กันกลางหัวใจนะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ เดินจงกรม ๗ วัน ๗ คืน เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนมันเพราะอะไรล่ะ เพราะระหว่างสงครามธาตุสงครามขันธ์ ระหว่างกิเลสกับธรรมที่มันประหัตประหารกลางหัวใจ มันสนุก มันครึกครื้น มันอาจหาญ มันรื่นเริง คนที่ปฏิบัติที่มีคุณธรรมในหัวใจ โอ๋ย! มันมีความสุขมาก เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเดินได้อย่างไร เดินอยู่อย่างนั้นน่ะ ข้างนอกเดินอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ข้างในระหว่างกิเลสกับธรรมมันประหัตประหารกัน นั้นเวลาภาวนามยปัญญามันเกิด มันเกิดอย่างนั้น

ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมา เวลามันประหัตประหารกันจนกิเลสมันหมอบราบไป มันหมอบราบเฉยๆ มันไม่ถึงกับสมุจเฉทปหาน ไม่ถึงกับตายไป มันทำแล้วทำเล่า มันจะมีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยบอกอย่างนี้ คอยชี้คอยบอกเพราะอะไร เพราะถ้าครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ทุกองค์แล้วเวลาปฏิบัติมันจะมีประสบการณ์อย่างนี้ ประสบการณ์ที่ว่าล้มลุกคลุกคลานก่อน คนเราจะทำหน้าที่การงานกว่าจะยืนตัวได้ กว่าจะอยู่ตัว มันก็ต้องเต็มที่นะ เวลาทำไปๆ มันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือประสบความสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนเหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนนะ ดูสิ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พวกเราก็ชื่นชมกันมาก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอุทานนะ เราวาสนาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี เพราะอะไร เพราะ ๔ อสงไขยไง พระศรีอริยเมตไตรย ๑๖ อสงไขยไง นี่การสร้างมามากมันก็ใหญ่มาก ยิ่งใหญ่มาก ความรู้มาก สร้างมาน้อยก็น้อย แต่ก็ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยมรรคด้วยผลก็สำเร็จไปทั้งหมด แต่ก็วาสนานี่ไง

นี่ย้อนกลับมาพวกเราไง เอาตรงนี้มาเทียบ มาเทียบว่าทำไมเราล้มลุกคลุกคลาน ทำไมเราทุกข์เรายาก ทำไมเราคิดไม่เหมือนเขา มันทำไมๆ ก็มันมีที่มาทั้งนั้นน่ะ หนี้เวรหนี้กรรม เราเป็นหนี้ก็ใช้หนี้ด้วยความเป็นหนี้ของเรา จบไปกระบวนการในทางโลก แต่ถ้าหนี้เวรหนี้กรรม หนี้เวรหนี้กรรมของคนที่มันลึกลับซับซ้อน มันก็ต้องขวนขวาย ฉะนั้น มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกนึกคิดไม่ต้องไปวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องเสียใจทั้งสิ้น เราทำมาทั้งนั้น ความคิดของเรา ความทุกข์ความยากของเรา เราทำเอง เราทำมาทั้งนั้น แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติจนหูตาท่านแจ่มแจ้ง ท่านถึงคอยเตือนเราคอยบอกเราไง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยเตือนคอยบอกเรา เราก็คิดเอง คิดเองก็คิดด้วยสมองของเรานี่ แล้วคิดแล้วก็มาเสียใจน้อยใจ เราไม่น่าเลย เราไม่น่าเลย กูว่าแล้ว กูว่าแล้ว ไม่ต้องกูว่าหรอก ทำจริงๆ ทำตรงนี้ แล้วไม่ต้องไปเสียใจกับมัน เราทำเอง

เราเกิดมา เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีกายกับใจเหมือนกัน ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์เหมือนกัน แล้วเราก็ขวนขวายการกระทำเหมือนกัน เราต้องมีน้ำใจต่อกัน เห็นใจต่อกัน เห็นใจต่อกันนะ ทุกคนก็ปรารถนาดีทั้งนั้นน่ะ เราอย่าไปทำกระทบกระเทือนใครทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามเด็ดขาดนะ เรื่องศีล ไม่ให้เบียดเบียนกัน ไม่ให้ทำลายกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ สรรเสริญถึงการฆ่ากิเลส การฆ่าทิฏฐิมานะความเห็นผิดของเรา หัวใจของเราที่จะไปจาบจ้วง ไปคิดทำลายเขา ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่าความคิดอย่างนั้นเสีย ฆ่าทำลายไอ้ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญ สรรเสริญมาก

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการนะ ท่านตีหัวกิเลสในใจของคนน่ะ ไม่ได้ว่าคนหรอก คนคือคน แต่ไอ้กิเลสในใจนั่นน่ะมันตัวร้าย มันทำให้เราผิดพลาด ให้เราเสียหาย ไอ้กิเลสตัวนั้นน่ะ ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็จะมาแก้ไขกิเลสในใจของเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นที่จะชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ตนต้องเข้มแข็ง ตนต้องพยายามละเอียดอ่อน พยายามดูแลรักษาหัวใจของเรา เอวัง